ปราสาทวัดพู (VAT PHOU)
รถตู้อุบล, รถตู้ให้เช่า, รถตู้อุบลให้เช่า เที่ยวปราสาทวัดพู
ปราสาทวัดพู (VAT PHOU) เป็นโบราณสถานในอารยธรรมเขมรที่ตั้งอยู่ในดินแดนประเทศลาวตอนใต้ ส่วนที่เป็นแขวงจำปาสักในปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นปราสาทเขมรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศลาว โบราณสถานแห่งนี้มีประวัติย้อนไปได้ไกลถึงยุคแรกเริ่มก่อตั้งอาณาจักรกัมพูชาโบราณ และคงความสำคัญสืบมาในคตินิยมของชาวลาวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ปราสาทวัดพูจึงได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็น “มรดกโลก” ในปี พ.ศ. 2545
ทำเลที่ตั้ง
ปราสาทวัดพูตั้งอยู่บริเวณเชิงภูเขาลูกใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ทางตอนใต้ของเมืองจำปาสัก ห่างจากเมืองปากเซไปประมาณ 30 กิโลเมตร ภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทวัดพูแห่งนี้ชาวลาวนิยมเรียกชื่อว่า “ภูเกล้า” สื่อความหมายถึงความเคารพประดุจยกไว้เหนือเศียรเกล้า ตัวปราสาทวัดพูหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และวางแผนผังเป็นแนวยาวตามลักษณะของปราสาทเขมรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขา อาจเทียบเคียงได้กับปราสาทเขาพระวิหาร ที่มีแผนผังคล้ายคลึงกัน
ประวัติความเป็นมาโดยสังเขป
บริเวณใกล้เคียงที่ตั้งของปราสาทวัดพูเคยมีเมืองโบราณแห่งหนึ่งชื่อว่า “เสดถะปุระ” (เศรษฐปุระ) ซึ่งเป็นเมืองโบราณในอารยธรรมกัมพูชายุคก่อนเมืองพระนคร ราวๆช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 12 (ยุคสมัยเก่าแก่ก่อนที่กัมพูชาจะลงไปตั้งราชธานีที่บริเวณพื้นที่ที่เป็นปราสาทนครวัด) มีการค้นพบจารึกของกษัตริย์พระนามว่า “เทวนิกะ” ในพื้นที่แถบนี้ซึ่งพระองค์อาจจะเป็นผู้ริเริ่มสร้างปราสาทวัดพูก็เป็นได้ (แต่ยังไม่มีหลักฐานอื่นใดเชื่อมโยงกษัตริย์องค์นี้กับปราสาทวัดพู)
หลักฐานที่สำคัญที่น่าจะกล่าวถึงบริเวณปราสาทวัดพูในสมัยโบราณ คือจดหมายเหตุของจีนสมัยราชวงศ์สุย กล่าวว่า “อาณาจักรโบราณนามว่า เจนละ ตั้งอยู่แถบภูเขาสูง ที่เมืองหลางของเจนละจะมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ชื่อว่า ลิงเจียโปโป เป็นที่สถิตของเทพเจ้านามว่า โพโตลิ สถานที่นี้มีทหาร 1,000 นายดูแลรักษา ซึ่งทุกปีกษัตริย์แห่งเจนละจะเสด็จมาที่ภูเขานี้ เพื่อบวงสรวงสังเวยเทพโพโตลิด้วยการบูชายัญมนุษย์”
ทับหลังรูปนารายณ์ทรงสุบรรณ ปราสาทวัดพู
นักวิชาการชาวฝรั่งเศสตีความจดหมายเหตุจีนว่า เจนละเป็นอาณาจักรสำคัญในประวัติศาสตร์กัมพูชายุคก่อนเมืองพระนคร โดยมีพื้นที่ครอบคลุมแถบตอนเหนือของกัมพูชา ทางใต้ของลาวรวมถึงภาคอีสานของไทย ศูนย์กลางราชธานีของอาณาจักรเจนละน่าจะอยู่แถบเมืองโบราณเศรษฐปุระในแขวงจำปาสัก ประเทศลาว ด้วยเหตุที่บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของภูเกล้า ซึ่งน่าจะตรงกับภูเขา “ลิงเจียโปโป” ที่ชาวจีนกล่าวถึง นักวิชาการชาวฝรั่งเศสตีความต่อว่า คำว่า “ลิงเจียโปโป” น่าจะเป็นการออกเสียงของชาวจีนที่พยายามกล่าวคำว่า “ลิงคปารวตา” (ลิงคบรรพต) ซึ่งเป็นนามภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าคือภูเกล้าในปัจจุบัน และชื่อเทพเจ้า “โพโตลิ” ก็น่าจะตรงกับภาษาสันสกฤตว่า “ภัทเรศวร” ซึ่งเป็นชื่อของศิวลึงค์ที่ประดิษฐานที่ปราสาทวัดพูแห่งนี้อีกด้วย ดังนั้นปราสาทวัดพูจึงน่าจะสร้างขึ้นและได้รับการเคารพบูชาเป็นพิเศษมาตั้งแต่ช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 12 แล้ว
ภายหลังจากพระเจ้ามเหนทรวรมัน (เจ้าชายจิตรเสน) ทรงย้ายราชธานีจากบริเวณแถบนี้ลงไปยังเขตจังหวัดกำปงธมในประเทศกัมพูชา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่กัมพูชาตั้งเมืองพระนคร (ยโศธรปุระ) เป็นราชธานีถาวร ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-18 ปราสาทวัดพูก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้งหรือลดความสำคัญลงเลย กษัตริย์แห่งอาณาจักรกัมพูชาโบราณในแต่ละช่วงสมัยยังคงเคารพนับถือศาสนสถานแห่งนี้ และทำนุบำรุงไว้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากรูปแบบศิลปกรรมของตัวปราสาทวัดพู ที่เป็นปราสาทหินศิลปะเขมรแบบที่คาบเกี่ยวระหว่างแบบบาปวน (Baphoun) และแบบนครวัด (Angkor Wat)
(ศิลปะเขมรที่สร้างสรรค์ปราสาทหินต่างๆเหล่านี้ นักวิชาการสามารถจัดจำแนกเป็น 14 รูปแบบ แต่ละแบบแต่ละสมัยจะมีชื่อเรียกเฉพาะตามชื่อปราสาทที่เด่นในกลุ่มนั้น อย่างเช่น ศิลปะเขมรแบบนครวัด คือรูปแบบศิลปะที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับการสร้างปราสาทนครวัด ราวพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นต้น)
ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรกัมพูชาโบราณ พื้นที่แถบนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลาวล้านช้าง โดยเมืองจำปาสักได้เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของล้านช้าง เมื่อเจ้าราชครูโพนสะเม็ก พระภิกษุระดับมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ เดินทางมาจากนครเวียงจันทน์มาตั้งเมืองจำปาสักเป็นเมืองหลวงฝ่ายใต้ ราวๆพุทธศตวรรษที่ 23 (ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย) ปราสาทวัดพูภายใต้วัฒนธรรมลาวก็ถูกปรับเปลี่ยนจากการเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู มาเป็นวัดในพุทธศาสนา และชื่อเรียกว่า “วัดพู” ก็คงเกิดขึ้นจากชาวลาวแถบนี้ที่เคารพปราสาทแห่งนี้ในฐานะพระอารามในพุทธศาสนาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ปราสาทวัดพู มีแผนผังตามแนวแกนตะวันออกตะวันตก จากพื้นราบตัดขึ้นไปตามเชิงภูจนถึงลานตระพักชั้นบนสุดมีความสูง 607 เมตรจากรระดับน้ำทะเล หากเดินจากจุดเริ่มต้นด้านหน้าปราสาททางทิศตะวันออก สิ่งแรกที่พบ คือ “บาราย” สระน้ำขนาดใหญ่มีขอบสระก่อด้วยหินทราย กว้าง 200 เมตร ยาว 600 เมตร เชื่อเว่าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้น้ำสำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ชาวลาวนิยมเรียกว่า “หนองสระ” สมัยก่อนเคยมีศาลารับเสด็จเจ้ามหาชีวิต (กษัตริย์ลาว) บนฐานหินเดิม สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2500 ปัจจุบันถูกรื้อถอนออกไปแล้ว
จากนั้น จะเป็นทางเดินขึ้นยาว ระยะทาง 280 เมตร ปูพื้นด้วยหินทราย ขอบทางเดินตั้งเสาหินรูปดอกบัวทั้งสองข้าง เรียกว่า “เสานางเรียง” ซึ่งเป็นเสาหินที่ใช้ปักกำหนดขอบเขตทางเดินว่า พื้นที่ระหว่างช่วงเสานี้สงวนไว้เฉพาะขบวนเสด็จของกษัตริยืและชนชั้นสูงเท่านั้น (ลักษณะคล้ายทางเดินที่ปราสาทพนมรุ้ง) ทางเดินดังกล่าวมีไปจนถึงลานชั้นที่ 1 คือที่ตั้งของอาคารแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 2 หลัง ขนาบข้างทางเดินซ้ายขวา อาคารดังกล่าวก่อด้วยหินทราย สลับกับอิฐและศิลแลงบางส่วน แต่มีการแกะสลักลวดลายสวยงามที่บริเวณหน้าบันและทับหลังของตัวอาคารด้วย สันนิษฐานว่าอาคาร 2 หลังนี้ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรืออาจเป็นพลับพลาของกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ยามที่เสด้จมาบูชาเทวสถานแห่งนี้ ชาวลาวในปัจจุบันเชื่อตามคติท้องถิ่นว่าที่แบ่งเป็นอาคาร 2 หลังเพราะเป็นที่พำนักของฝ่ายผู้ชายและฝ่ายผู้หญิง จึงเรียกชื่อว่า “โรงท้าว” และ “โรงนาง” จุดที่น่าสนใจของโรงท้าวโรงนางก็คือ ภาพสลักลวดลายหน้าบันและทับหลังที่สวยงาม โดยเฉพาะหน้าบันรูป “อุมามเหศวร”
ถัดจากโรงท้าวโรงนาง เป็นทางเดินปูด้วยแผ่นหินทรายยาวตรงไปสู่บันไดขั้นแรก ที่จะขึ้นไปยังตัวปราสาทประธาน ส่วนด้านใต้ของทางเดินนี้มีปราสาทอีกหลังหนึ่งที่ชาวลาวเรียกว่า “โรงงัวอุสุพะลาด” (อุศุภราช) ซึ่งเป็นชื่อพระโคที่เป็นพาหนะของพระศิวะ (จริงๆแล้วอาคารนี้อาจจะเป็น “บรรณาลัย” ที่เก็บคัมภีร์ต่างๆสำหรับเทวสถาน) ถ้าสังเกตให้ดีจะมีเส้นทางโบราณออกจากบริเวณใกล้ๆอาคารนี้ตรงไปทางทิศใต้ ผ่านบ้านธาตุ มุ่งตรงไปยังเมืองพระนคร (Angkor) ราชธานีโบราณของกัมพูชาอันเป็นที่ตั้งของนครวัดในปัจจุบันอีกด้วย
จากนั้นเป็นบันไดหินขึ้นสู่ปราสาท บางช่วงมีกองอิฐของปราสาทเก่า และชั้นกำแพงหินป้องกันดินทรุดเป็นระยะๆต่อไป จุดเด่นของบันไดทางขึ้นช่วงแรกนี้คือต้นลั่นทมขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสวยงาม ชาวลาวถือว่าลั่นทมเป็นดอกไม้ประจำชาติ นิยมเรียกว่า “จำปา” เหนือบันไดนี้จะมีร่องรอยของ “โคปุระ” หรือซุ้มประตูซึ่งพังไปแล้วเช่นกัน มีส่วนเหลือให้เห็นคือ รูปสลักทวารบาล หรือผู้รักษาประตูด้านทิศเหนือ ในสภาพมือขวากุมไม้เท้า มือซ้ายแนบหน้าอก เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ผ่านขึ้นไปยังปราสาทเบื้องบน แต่ชาวลาวกลับตีความว่าเป็นรูปสลักของ “พระยากำมะทา” ผู้ควบคุมการก่อสร้างปราสาทวัดพู กำลังทุบอกตนเองด้วยเสียใจที่การก่อสร้างปราสาทวัดพู เสร็จทีหลังการก่อสร้างพระธาตุพนม
ถัดจากบันไดนี้ขึ้นไป เป็นทางเดินยาวที่ปูด้วยแผ่นหินทราย ที่มีความชันตามแนวลาดของภูเขา นำไปสู่ บันไดชั้นถัดไปได้เชื่อมต่อขึ้นสู่ระเบียงตระพักบนชั้นสุด ที่หน้าบันไดนี้จะมีร่องรอยของ “สะพานนาคราช” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สะพานสายรุ้งหรือทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ตามคติเขมร เมื่อเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นบนสุดก็จะเป็นที่ตั้งของปราสาทหลังประธาน หัวใจสำคัญของเทวสถานปราสาทวัดพูแห่งนี้
ตัวปราสาทประธานของปราสาทวัดพู แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คืออาคารหินทรายส่วนหน้าเรียกว่า “มณฑป” สร้างขึ้นราวๆช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 มณฑปนี้จะมีจุดเด่นตรงที่ มีการสลักภาพเล่าเรื่องและภาพบุคคลต่างๆตามความนิยมในศิลปะเขมรมากมายทั้งที่ตัวผนังปราสาท หน้าบันและทับหลัง ตัวอย่างภาพสลักที่อยู่ที่มณฑปนี้ ได้แก่
ทวารบาล และนางอัปสรา
พระศิวะท่ามกลางฤๅษี
มหากาพย์รามายณะ
พระกฤษณะปราบนาคกาลียะ
พระกฤษณะปราบพระยากงส์
การกวนน้ำอมฤต ณ เกษียรสมุทร
พระนารายณ์ทรงสุบรรณ
พระนารายณ์บรรทมสินธุ์
พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
ด้านในสุดของมณฑปเป็นห้องที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชาวลาวสร้างขึ้นในสมัยหลัง ช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนตัวปราสาทวัดพูจากเทวสถานของศาสนาฮินดูของเขมร มาเป็นวัดพุทธศาสนาแบบลาว
ด้านหลังมณฑปเป็นอาคารก่ออิฐแบบโบราณ ซึ่งก็คือ “ปราสาทประธาน” นั่นเอง ใรอดีตปราสาทอิฐหลังนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ “ภัทเรศวร” ที่กษัตริยืกัมพูชาเคารพนับถือมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรเจนละ แต่ปัจจุบันไม่มีศิวลึงค์อยู่ในห้องนี้แล้ว
หน้าผาเพิงหินด้านหลังปราสาทประธานของวัดพู จะมีน้ำไหลซึมออกมาตลอดทั้งปี ชาวลาวเรียกว่า “น้ำเที่ยง” ซึ่งถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากยอดภูเกล้า “ลิงคบรรพต” เปรียบประดุจไหลมาจากศิวลึงค์แห่งพระศิวะบนเขาไกรลาส จึงถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หากได้ปะพรมหรือดื่มกินแล้วจะเกิดสวัสดิมงคลด้วยพรแห่งพระเป็นเจ้า
หากเดินออกจากปราสาทประธานไปยังโขดหินด้านหลังทางทิศเหนือ จะพบรูปแกะสลักนูนสูงของ “ตรีมูรติ” หรือรูปเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ 3 องค์แห่งศาสนาฮินดู มีพระศิวะ 5 เศียรอยู่กลาง (เรียกว่า พระสทาศิวะ) พระพรหมอยู่ด้านขวา ส่วนพระนารายณ์อยู่ด้านซ้าย การที่สลักรูปพระศิวะไว้ตรงกลางสำคัญที่สุด บ่งบอกว่าปราสาทวัดพูเป็นเทวสถานใน “ศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย” คือศาสนาอินดูที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งปวงนั่นเอง
หากเดินเลยต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะพบกับกลุ่มหินแกะสลักรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งรูปช้าง รูปงู และรูปจระเข้ ซึ่งเป็นร่องรอยคติความเชื่อท้องถิ่นก่อนจะนับถือพุทธศาสนา สัตว์เหล่านี้ได้รับการตีความว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ที่น่าสนใจคือรูปสลักจระเข้ที่แกะเป็นร่องลึกคล้ายมนุษย์ ซึ่งนักวิชาการบางท่านเชื่อว่า นี่อาจเป็นร่องรอยของการ “บูชายัญ” มนุษย์ตามที่ระบุไว้ในจดหมายเหตุจีนก็เป็นได้
แม้ว่าปราสาทวัดพูจะมีสภาพที่เก่าแก่ปรักหักพังตามกาลเวลา ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเท่าปราสาทนครวัดที่เป็นสิ่งมหัสจรรย์ของโลก แต่คุณค่าของโบราณสถานแห่งนี้ ในฐานะจุดกำเนิดอารยธรรมกัมพูชาสมัยเจนละผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ในอดีต ต่อเนื่องมาจนกลายเป็นศูนย์รวมความศรัทธาในจิตใจของชาวลาวเจ้าของพื้นที่ในปัจจุบัน ก็ยิ่งใหญ่สมควรแก่การมาเยี่ยมเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ทั้งเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านและเพื่อทำความความเข้าใจวิถีศรัทธาของประเทศเพื่อนบ้านได้ดียิ่งขึ้น
ข้อมูล : KM Blog
ปราสาทวัดพู (VAT PHOU) เป็นโบราณสถานในอารยธรรมเขมรที่ตั้งอยู่ในดินแดนประเทศลาวตอนใต้ ส่วนที่เป็นแขวงจำปาสักในปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นปราสาทเขมรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศลาว โบราณสถานแห่งนี้มีประวัติย้อนไปได้ไกลถึงยุคแรกเริ่มก่อตั้งอาณาจักรกัมพูชาโบราณ และคงความสำคัญสืบมาในคตินิยมของชาวลาวอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ปราสาทวัดพูจึงได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนจาก UNESCO ให้เป็น “มรดกโลก” ในปี พ.ศ. 2545
ทำเลที่ตั้ง
ปราสาทวัดพูตั้งอยู่บริเวณเชิงภูเขาลูกใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง ทางตอนใต้ของเมืองจำปาสัก ห่างจากเมืองปากเซไปประมาณ 30 กิโลเมตร ภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทวัดพูแห่งนี้ชาวลาวนิยมเรียกชื่อว่า “ภูเกล้า” สื่อความหมายถึงความเคารพประดุจยกไว้เหนือเศียรเกล้า ตัวปราสาทวัดพูหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และวางแผนผังเป็นแนวยาวตามลักษณะของปราสาทเขมรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขา อาจเทียบเคียงได้กับปราสาทเขาพระวิหาร ที่มีแผนผังคล้ายคลึงกัน
ประวัติความเป็นมาโดยสังเขป
บริเวณใกล้เคียงที่ตั้งของปราสาทวัดพูเคยมีเมืองโบราณแห่งหนึ่งชื่อว่า “เสดถะปุระ” (เศรษฐปุระ) ซึ่งเป็นเมืองโบราณในอารยธรรมกัมพูชายุคก่อนเมืองพระนคร ราวๆช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่ 12 (ยุคสมัยเก่าแก่ก่อนที่กัมพูชาจะลงไปตั้งราชธานีที่บริเวณพื้นที่ที่เป็นปราสาทนครวัด) มีการค้นพบจารึกของกษัตริย์พระนามว่า “เทวนิกะ” ในพื้นที่แถบนี้ซึ่งพระองค์อาจจะเป็นผู้ริเริ่มสร้างปราสาทวัดพูก็เป็นได้ (แต่ยังไม่มีหลักฐานอื่นใดเชื่อมโยงกษัตริย์องค์นี้กับปราสาทวัดพู)

ทับหลังรูปนารายณ์ทรงสุบรรณ ปราสาทวัดพู

ภายหลังจากพระเจ้ามเหนทรวรมัน (เจ้าชายจิตรเสน) ทรงย้ายราชธานีจากบริเวณแถบนี้ลงไปยังเขตจังหวัดกำปงธมในประเทศกัมพูชา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่กัมพูชาตั้งเมืองพระนคร (ยโศธรปุระ) เป็นราชธานีถาวร ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-18 ปราสาทวัดพูก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้งหรือลดความสำคัญลงเลย กษัตริย์แห่งอาณาจักรกัมพูชาโบราณในแต่ละช่วงสมัยยังคงเคารพนับถือศาสนสถานแห่งนี้ และทำนุบำรุงไว้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากรูปแบบศิลปกรรมของตัวปราสาทวัดพู ที่เป็นปราสาทหินศิลปะเขมรแบบที่คาบเกี่ยวระหว่างแบบบาปวน (Baphoun) และแบบนครวัด (Angkor Wat)
(ศิลปะเขมรที่สร้างสรรค์ปราสาทหินต่างๆเหล่านี้ นักวิชาการสามารถจัดจำแนกเป็น 14 รูปแบบ แต่ละแบบแต่ละสมัยจะมีชื่อเรียกเฉพาะตามชื่อปราสาทที่เด่นในกลุ่มนั้น อย่างเช่น ศิลปะเขมรแบบนครวัด คือรูปแบบศิลปะที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับการสร้างปราสาทนครวัด ราวพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นต้น)
ภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรกัมพูชาโบราณ พื้นที่แถบนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลาวล้านช้าง โดยเมืองจำปาสักได้เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของล้านช้าง เมื่อเจ้าราชครูโพนสะเม็ก พระภิกษุระดับมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ เดินทางมาจากนครเวียงจันทน์มาตั้งเมืองจำปาสักเป็นเมืองหลวงฝ่ายใต้ ราวๆพุทธศตวรรษที่ 23 (ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย) ปราสาทวัดพูภายใต้วัฒนธรรมลาวก็ถูกปรับเปลี่ยนจากการเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู มาเป็นวัดในพุทธศาสนา และชื่อเรียกว่า “วัดพู” ก็คงเกิดขึ้นจากชาวลาวแถบนี้ที่เคารพปราสาทแห่งนี้ในฐานะพระอารามในพุทธศาสนาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

จากนั้น จะเป็นทางเดินขึ้นยาว ระยะทาง 280 เมตร ปูพื้นด้วยหินทราย ขอบทางเดินตั้งเสาหินรูปดอกบัวทั้งสองข้าง เรียกว่า “เสานางเรียง” ซึ่งเป็นเสาหินที่ใช้ปักกำหนดขอบเขตทางเดินว่า พื้นที่ระหว่างช่วงเสานี้สงวนไว้เฉพาะขบวนเสด็จของกษัตริยืและชนชั้นสูงเท่านั้น (ลักษณะคล้ายทางเดินที่ปราสาทพนมรุ้ง) ทางเดินดังกล่าวมีไปจนถึงลานชั้นที่ 1 คือที่ตั้งของอาคารแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 2 หลัง ขนาบข้างทางเดินซ้ายขวา อาคารดังกล่าวก่อด้วยหินทราย สลับกับอิฐและศิลแลงบางส่วน แต่มีการแกะสลักลวดลายสวยงามที่บริเวณหน้าบันและทับหลังของตัวอาคารด้วย สันนิษฐานว่าอาคาร 2 หลังนี้ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรืออาจเป็นพลับพลาของกษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ยามที่เสด้จมาบูชาเทวสถานแห่งนี้ ชาวลาวในปัจจุบันเชื่อตามคติท้องถิ่นว่าที่แบ่งเป็นอาคาร 2 หลังเพราะเป็นที่พำนักของฝ่ายผู้ชายและฝ่ายผู้หญิง จึงเรียกชื่อว่า “โรงท้าว” และ “โรงนาง” จุดที่น่าสนใจของโรงท้าวโรงนางก็คือ ภาพสลักลวดลายหน้าบันและทับหลังที่สวยงาม โดยเฉพาะหน้าบันรูป “อุมามเหศวร”
ถัดจากโรงท้าวโรงนาง เป็นทางเดินปูด้วยแผ่นหินทรายยาวตรงไปสู่บันไดขั้นแรก ที่จะขึ้นไปยังตัวปราสาทประธาน ส่วนด้านใต้ของทางเดินนี้มีปราสาทอีกหลังหนึ่งที่ชาวลาวเรียกว่า “โรงงัวอุสุพะลาด” (อุศุภราช) ซึ่งเป็นชื่อพระโคที่เป็นพาหนะของพระศิวะ (จริงๆแล้วอาคารนี้อาจจะเป็น “บรรณาลัย” ที่เก็บคัมภีร์ต่างๆสำหรับเทวสถาน) ถ้าสังเกตให้ดีจะมีเส้นทางโบราณออกจากบริเวณใกล้ๆอาคารนี้ตรงไปทางทิศใต้ ผ่านบ้านธาตุ มุ่งตรงไปยังเมืองพระนคร (Angkor) ราชธานีโบราณของกัมพูชาอันเป็นที่ตั้งของนครวัดในปัจจุบันอีกด้วย
จากนั้นเป็นบันไดหินขึ้นสู่ปราสาท บางช่วงมีกองอิฐของปราสาทเก่า และชั้นกำแพงหินป้องกันดินทรุดเป็นระยะๆต่อไป จุดเด่นของบันไดทางขึ้นช่วงแรกนี้คือต้นลั่นทมขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสวยงาม ชาวลาวถือว่าลั่นทมเป็นดอกไม้ประจำชาติ นิยมเรียกว่า “จำปา” เหนือบันไดนี้จะมีร่องรอยของ “โคปุระ” หรือซุ้มประตูซึ่งพังไปแล้วเช่นกัน มีส่วนเหลือให้เห็นคือ รูปสลักทวารบาล หรือผู้รักษาประตูด้านทิศเหนือ ในสภาพมือขวากุมไม้เท้า มือซ้ายแนบหน้าอก เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ผ่านขึ้นไปยังปราสาทเบื้องบน แต่ชาวลาวกลับตีความว่าเป็นรูปสลักของ “พระยากำมะทา” ผู้ควบคุมการก่อสร้างปราสาทวัดพู กำลังทุบอกตนเองด้วยเสียใจที่การก่อสร้างปราสาทวัดพู เสร็จทีหลังการก่อสร้างพระธาตุพนม
ถัดจากบันไดนี้ขึ้นไป เป็นทางเดินยาวที่ปูด้วยแผ่นหินทราย ที่มีความชันตามแนวลาดของภูเขา นำไปสู่ บันไดชั้นถัดไปได้เชื่อมต่อขึ้นสู่ระเบียงตระพักบนชั้นสุด ที่หน้าบันไดนี้จะมีร่องรอยของ “สะพานนาคราช” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สะพานสายรุ้งหรือทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ตามคติเขมร เมื่อเดินขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นบนสุดก็จะเป็นที่ตั้งของปราสาทหลังประธาน หัวใจสำคัญของเทวสถานปราสาทวัดพูแห่งนี้
ตัวปราสาทประธานของปราสาทวัดพู แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วน คืออาคารหินทรายส่วนหน้าเรียกว่า “มณฑป” สร้างขึ้นราวๆช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 มณฑปนี้จะมีจุดเด่นตรงที่ มีการสลักภาพเล่าเรื่องและภาพบุคคลต่างๆตามความนิยมในศิลปะเขมรมากมายทั้งที่ตัวผนังปราสาท หน้าบันและทับหลัง ตัวอย่างภาพสลักที่อยู่ที่มณฑปนี้ ได้แก่
ทวารบาล และนางอัปสรา
พระศิวะท่ามกลางฤๅษี
มหากาพย์รามายณะ
พระกฤษณะปราบนาคกาลียะ
พระกฤษณะปราบพระยากงส์
การกวนน้ำอมฤต ณ เกษียรสมุทร
พระนารายณ์ทรงสุบรรณ
พระนารายณ์บรรทมสินธุ์
พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ
ด้านในสุดของมณฑปเป็นห้องที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชาวลาวสร้างขึ้นในสมัยหลัง ช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนตัวปราสาทวัดพูจากเทวสถานของศาสนาฮินดูของเขมร มาเป็นวัดพุทธศาสนาแบบลาว
ด้านหลังมณฑปเป็นอาคารก่ออิฐแบบโบราณ ซึ่งก็คือ “ปราสาทประธาน” นั่นเอง ใรอดีตปราสาทอิฐหลังนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ “ภัทเรศวร” ที่กษัตริยืกัมพูชาเคารพนับถือมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรเจนละ แต่ปัจจุบันไม่มีศิวลึงค์อยู่ในห้องนี้แล้ว
หน้าผาเพิงหินด้านหลังปราสาทประธานของวัดพู จะมีน้ำไหลซึมออกมาตลอดทั้งปี ชาวลาวเรียกว่า “น้ำเที่ยง” ซึ่งถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากยอดภูเกล้า “ลิงคบรรพต” เปรียบประดุจไหลมาจากศิวลึงค์แห่งพระศิวะบนเขาไกรลาส จึงถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หากได้ปะพรมหรือดื่มกินแล้วจะเกิดสวัสดิมงคลด้วยพรแห่งพระเป็นเจ้า
หากเดินออกจากปราสาทประธานไปยังโขดหินด้านหลังทางทิศเหนือ จะพบรูปแกะสลักนูนสูงของ “ตรีมูรติ” หรือรูปเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ 3 องค์แห่งศาสนาฮินดู มีพระศิวะ 5 เศียรอยู่กลาง (เรียกว่า พระสทาศิวะ) พระพรหมอยู่ด้านขวา ส่วนพระนารายณ์อยู่ด้านซ้าย การที่สลักรูปพระศิวะไว้ตรงกลางสำคัญที่สุด บ่งบอกว่าปราสาทวัดพูเป็นเทวสถานใน “ศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย” คือศาสนาอินดูที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งปวงนั่นเอง
หากเดินเลยต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะพบกับกลุ่มหินแกะสลักรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งรูปช้าง รูปงู และรูปจระเข้ ซึ่งเป็นร่องรอยคติความเชื่อท้องถิ่นก่อนจะนับถือพุทธศาสนา สัตว์เหล่านี้ได้รับการตีความว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ที่น่าสนใจคือรูปสลักจระเข้ที่แกะเป็นร่องลึกคล้ายมนุษย์ ซึ่งนักวิชาการบางท่านเชื่อว่า นี่อาจเป็นร่องรอยของการ “บูชายัญ” มนุษย์ตามที่ระบุไว้ในจดหมายเหตุจีนก็เป็นได้
แม้ว่าปราสาทวัดพูจะมีสภาพที่เก่าแก่ปรักหักพังตามกาลเวลา ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเท่าปราสาทนครวัดที่เป็นสิ่งมหัสจรรย์ของโลก แต่คุณค่าของโบราณสถานแห่งนี้ ในฐานะจุดกำเนิดอารยธรรมกัมพูชาสมัยเจนละผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ในอดีต ต่อเนื่องมาจนกลายเป็นศูนย์รวมความศรัทธาในจิตใจของชาวลาวเจ้าของพื้นที่ในปัจจุบัน ก็ยิ่งใหญ่สมควรแก่การมาเยี่ยมเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ทั้งเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่านและเพื่อทำความความเข้าใจวิถีศรัทธาของประเทศเพื่อนบ้านได้ดียิ่งขึ้น
ข้อมูล : KM Blog